Thursday, August 22, 2013

ยังแพลน

หนนี้เตรียมตัวเที่ยวปลายปีนานกว่าหนก่อนซะอีก
มันเริ่มมีประสบการณ์ มันเลยเริ่มรู้ว่า
จะไปเจาะตรงไหน ตรงไหนไป ตรงไหนไม่ไป
อะไรเอา อะไรไม่เอา
สองเดือนที่ผ่านมาแพลนเรื่องที่พักอย่างเดียว
จองหมดอะไรหมด ครบ หายห่วง
(หวังว่าบุ๊กกิ้งดอตคอมจะไม่ฟักอัพ
เพราะเราโชคดีมากที่ผ่านมาไม่เคยโดนเลย
แต่คนอื่นแม่งโดนกันเพียบ)

เรื่องของเรื่อง พอเรื่องวันเดินทางลงตัว เรื่องที่พักลงตัว
พอมาถึงวันนี้ เริ่มงง เอ่อ กูทำไรต่อเนี่ย
เนื่องจากเรื่องตั๋วเครื่องบินต้องรอซื้อใกล้ๆ
(ว่าจะซื้อกับ H.I.S. ที่น่าสนใจสุดในวันนี้)

โอเค แพลนแม่งวันต่อวันไปเลยดีกว่า
ปีที่แล้วชิวเกิน อยากไปไหน ก็ตัดสินใจไปเป็นวันๆ
แต่หนนี้เกี่ยวกับการซื้อ pass ต่างๆ
ซึ่งว่าจะใช้ทั้งซุรุตโตะ และคันไซ wide ของ JR ด้วย
คงต้องแพลนให้เป๊ะขึ้น จะได้ไม่เปลือง

ความตั้งใจของทริปในปีนี้
1) จะตั้งใจใช้เงินอย่างระวังและมีสติมากขึ้น บันทึกให้เป๊ะ
เก็บรายละเอียดให้หมด เซฟอะไรได้จะเซฟ
2) ระหว่างเดินทางจะบันทึกให้ละเอียดขึ้นอีกมากๆ
ถ้าเป็นไปได้ จะเขียนให้เป็นต้นฉบับที่เอาไปใช้ต่อได้เลย
3) เวลาเราเยอะ ดังนั้นจะไปให้ครบ
ทั้งนาระ ฮิเมจิ และเกียวโตที่ไปเห็นมาน้อยเกินไปในปีก่อน
ส่วนโกเบและโอซาก้า ก็กะจะเน้นอยู่แล้ว

Saturday, August 17, 2013

เคยอึด

ปีนี้รู้สึกแก่ไปอย่างรู้สึกได้ชัด
อัดงานโต้รุ่งสามวัน ป่วยเลย
ได้เวลาหาทายาทแล้วจริงๆ

เอาจริงๆ คนที่อยากทำหนังสือจริงๆ ล้วนๆ หายากที่สุด
ส่วนใหญ่อยากเป็นนักเขียน หรืออยากมีหนังสือ
ไม่ก็อยากใช้หนังสือเป็น stepping stone ไปที่อื่นต่อ
แต่คนที่อยากทำหนังสืออย่างแท้จริง
เพราะรักหนังสืออย่างแท้จริง
แทบหาไม่มีเลยจริงๆ

Thursday, June 27, 2013

That's how I know

เมื่อก่อน เวลาเจอใครๆ ที่ทำอะไรน่าทึ่ง
มีชีวิตและการงานที่น่าทึ่ง
เราจะหันกลับมาเศร้ากับตัวเอง
อยากทำงานอย่างเขา อยากมีชีวิตอย่างเขา
อยากได้อยากมีอย่างที่เขาได้เขามี
ความสำเร็จและการได้ดีของเพื่อน
จะไม่ทำให้เรายินดีไปกับเขาได้อย่างเต็มจิตเต็มใจ
เพราะส่วนหนึ่งเรามัวแต่อิจฉา
และอดคิดไม่ได้ว่าเรามันช่างต่ำต้อยด้อยค่า

วันนี้นั่งคุยกับเพื่อน เพื่อนเล่าเรื่องงานให้ฟัง
ชีวิตดีมาก งานดีมาก เงินดีมาก
แล้วทันใดนั้นผมก็ตระหนักว่า
ผมรักงานนี้ รักอาชีพนี้ และรักชีวิตของตัวเองตอนนี้มากแค่ไหน
เพราะความรู้สึกที่เคยมีเคยเป็น
นั่นคือเอาชีวิตคนอื่นมาเทียบ
แล้วรู้สึกสงสารตัวเองนั้น มันไม่เกิดขึ้นเลย
นึกย้อนไป ใช่ มันไม่เกิดขึ้นมานานแล้ว
และนี่เองที่ทำให้ผมรู้ว่า
สิ่งที่ผมทำอยู่ มันใช่แค่ไหน

เหมือนแฟน เมื่อก่อนเห็นคนอื่นมีแฟนดีๆ
เราก็อยากได้อยากมีอย่างเขา
แต่เป็นเวลาจะห้าปีแล้วที่ไม่เคยเกิดความรู้สึกนี้เลย
นี่เองที่มันช่วยตอบเราว่า
เราเจอคนที่ใช่แล้วหรือยัง

เมื่อไหร่ที่ความรักของเราตั้งนิ่งอยู่บนความรู้สึกที่มั่นคง

ไม่แกว่งไกวไปมา 
มันโคตรสงบสุขเลย



((By the way, 

on an unrelated subject,
คนเราเดี๋ยวนี้
โดนสิบ
เจ็บร้อย
แหกปากร้องพัน))

Sunday, June 23, 2013

Dumbass

เรื่องเกิดขึ้นเมื่อปลายปีที่แล้ว
ได้ค่าต้นฉบับมาก้อนใหญ่ยักษ์ ก็หมายจะเอาไปล้างหนี้ที่มีอยู่
จึงแบ่งเงินเกือบทั้งหมดไปใส่บัญชีธนาคารแห่งหนึงที่มีบัตรเครดิต
(หนึ่งในสองใบที่ใช้) ซึ่งบัตรนี้เป็นบัตรที่ แต่ไหนแต่ไรมาเอาไว้หักขั้นต่ำ
เพราะเมื่อก่อนจน ก็มีใบนี้เผื่อไว้เวลาขัดสนจนตรอก

ทีนี้ความโง่คือ เสือกโอนเข้าไปก่อน
แล้วกะจะไปทำเรื่องให้หักเต็มจำนวนจากนี้เป็นต้นไป
ปรากฏ ลืมสนิท ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นคือ
ลืมไปว่าตัวเองเอาเงินใส่ไว้เยอะมาก
พองวดต่อไป ก็ยังคงโอนมินิมัมตามยอดเรียกเก็บของบัตร
และยังคงตั้งหน้าโอนทุกเดือนมาเกือบปี
และด้วยความโง่และละเลย ก็ไม่เคยเอาสมุดบัญชีไปอัพเดตเลย
(เนื่องจากมันเป็นบัญชีที่ไม่มีรายได้เข้าประจำ
มีแต่การเอาไว้หักบัตรเครดิต)

จนถึงวันนี้ที่เอาไปอัพเดต เชี่ย ทำไมกูมีเงินเยอะขนาดนี้วะ
นั่นแหละ จึงได้นั่งระลึกชาติ
ความดีคือ เออ กลายเป็นการเก็บเงินไปโดยอัตโนมัติ
ความเหี้ยคือ มีเงินพอจะเคลียร์บัตรตั้งนานแล้ว แต่เสือกไม่ได้เคลียร์
(คือสมองมันจำแต่ว่า “เอาเงินเข้าบัญชีไปแล้ว”
แต่ไม่ได้ follow up ว่า “แล้วมึงไปแจ้งแบงค์ให้หักเต็มจำนวนหรือยัง”
ดอกเงินฝากมันเป็นขนาดติ๊ดเดียวเทียบกับดอกบัตรเครดิตนะว้อย

ดังนั้นแล้ว จึงรีบทำเรื่องหักเต็มจำนวนด่วนๆ
และเมื่อยอดเรียกเก็บมาครั้งต่อไป
ก็จะไปเคลียร์บัตรให้เหลือหนี้ค้างชำระจำนวน 0 บาทซะที
(ยังไม่จ่ายตอนนี้ดิ ให้มันเป็นรายจ่ายของเดือนหน้าเหอะ)

ชีวิตในช่วงนี้ เป็นหมวดๆ

  • New thing : สิ่งใหม่ในชีวิต (1) : ไปฝังเข็มรักษาอาการปวดหลังมาได้สองครั้งแล้ว วิชัยพาไป หายจริง หายแบบ 95% อะ ได้ผลกว่าการนวดไทย แม้จะไม่สบายเท่า
  • New thing : สิ่งใหม่ในชีวิต (2) : ไปโหลดแอพชื่อ Money Lover มาใช้ และเริ่มบันทึกรายรับรายจ่ายอย่างเข้มงวด ไอ้สมาร์ตโฟนนี่มันดีจริงๆ เมื่อก่อนต้องทำลงคอม ลงเอ็กเซล ลงกระดาษ ไม่เวิร์ค เพราะมันโน่นนี่นั่นเยอะ นี่คืออยู่ที่มือ ซึ่งถ้าเรามีเวลาเล่นไลน์หรืออินสตาแกรม เราก็มีเวลาบันทึกค่าใช้จ่ายลงแอพง่ายๆ นี่เหมือนกัน
  • New thing : สิ่งใหม่ในชีวิต (3) : เปลี่ยนแบ็ตให้อีโน้ตแล้ว ตอนนี้เลยอึดมาก โดนคนขายด่าอีกว่า พี่อย่าเสียบชาร์จทิ้งไว้สิครับ แบตบวมหมด แกะมาดู เออ บวมจริง 
  • อนึ่ง, ร้านซัมซุงไม่มีแบตขาย ร้านเจมาร์ตไม่มีแบตขาย เดินเข้าไอทีมอลล์พารากอน
    “มีครับพี่ แต่...”
    ทำหน้าสลดและเกรงใจเรานิดหน่อย
    “...แต่มันเป็นของแท้ของซัมซุงเลยนะครับพี่”
    อีห่า หน้ากูเหมือนใช้ของปลอมตลอดเวลาใช่มั้ย (ใช่)
  • It’s over : อำลาอาลัย : ไอ้มดแดง Mask Rider Double ที่ตามดูอยู่ จบแล้ว ซึ่งซึ้ง ร้องไห้เยย เสียดายเหมือนกัน นานๆ จะเจอหนังมดแดงหนุกๆ
  • Guilty Pleasure : แอบกินหมู มันหอมอะ สอยซะ (หลังๆ ชักบ่อยนะ)
  • Fail 1 : เจอหนังสือชื่อ “คู่มือพิชิตใจด้วยปลายลิ้น” ทำไมกูรู้สึกว่ามันอีโรติกวะ
  • Fail 2 : หลังประตูห้องน้ำ ในห้างเดียวกัน “ควยผู้หญิงก็เหมือนกันทั้งโลกน่ะแหละ” อืม เห็นความสำคัญของเครื่องหมายวรรคตอนหรือยัง คือหลังควยเนี่ยมึงควรเว้นวรรคไม่ก็ใส่เครื่องหมายตกใจหน่อยมั้ย ฟังดูเหมือนโดนชีเมลสลัดรักมาก
  • Impressed : ประทับใจมาก สติกเกอร์ไลน์ใหม่ บราวน์และโคนี่ออกเดตภาคสอง เพิ่งคิดเมื่อวันก่อนว่า ชุดสองตัวนี้มันติดอันดับขายดีตลอดกาลมากเลยนะ ไม่เคยหล่นลงต่ำกว่า 10 เลย กูเป็นไลน์กูจะรีบทำภาคสอง วันรุ่งขึ้นมันมาเลยครับ
  • รักลูกกะเจี๊ยบมาก ยังคงตามกินน้ำใต้ศอกสม่ำเสมอ และที่ชอบสุดคือ รูปที่อีบราวน์โดดถีบขาคู่อีโคนี่ แล้วลูกกะเจี๊ยบแซลลี่เริงร่ามาก ฮ่าๆๆ โคตรดาร์กอะ
  • โคตรรักไลน์คาแรกเตอร์เลย คนออกแบบแม่งเก่ง

Tuesday, June 04, 2013

ภาพสำคัญในชีวิตอีกภาพหนึ่ง

ลอยตัวอยู่ในน้ำ ข้างบนมีฟ้า กับกิ่งไม้
ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลย เว้นแต่ความสงบ
หันหน้ามองไป เห็นคนที่รักที่สุด นั่งฟังเพลง
มองกลับขึ้นไปบนฟ้า แดดลอดใบไม้ ลงมาแยงตา

รู้ได้เดี๋ยวนั้นว่า
นี่คงเป็นหนึ่งในภาพ
ที่จะมองเห็นตรงหลังเปลือกตา
ในลมหายใจท้ายๆ ของชีวิต

ที่สุดแล้ว ผมอาจจะไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลยบนโลก
แต่ภาพความทรงจำนี้ 
มันจะเป็นของผมเสมอ.

คนอื่นไม่ใช่ข้อยกเว้น เราก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น

โกรธคนอื่นน้อยลงได้ โดยการตระหนักให้ได้ว่า
เขาก็ไม่ต่างจากเรา เขาก็เป็นคนที่โกรธเป็น
เสียใจเป็น น้อยใจเป็น ทุกข์เป็น หงุดหงิดเป็น
เขาก็น่าสงสารเหมือนเรา และบางที เขาก็ซวยเหมือนเรา

รู้สึกหงุดหงิดกับความซวยของตัวเองน้อยลงได้
โดยการตระหนักให้ได้ว่า
แล้วเราวิเศษกว่าคนอื่นตรงไหนวะ
เรื่องเวรๆ ถึงจะเกิดขึ้นกับเราบ้างไม่ได้

อย่าลืมว่า เราไม่ใช่ข้อยกเว้น
ไม่มีใครทั้งนั้นล่ะ ที่เป็นข้อยกเว้นบนโลกนี้

เรื่องแรกจำได้แม่นว่าอ่านจาก เติมธรรมในช่องว่าง ของพี่เอ๊ดดี้ 
ส่วนเรื่องที่สอง จำไม่ได้ว่าอ่านจากไหน
จำได้เมื่อไหร่ จะเอามาเขียนไว้

Monday, June 03, 2013

สะกิดนิดเดียว

เพื่อนเล่าให้ฟังว่าเลิกกับแฟนที่รักกันมา 15 ปี
เหตุผลคือ "เรื่องไม่เป็นเรื่องนิดเดียว"

เคยได้ยินเรื่องแนวนี้มาหลายครั้งแล้ว
ซึ่งอันที่จริง มันไม่ใช่แค่เรื่องเล็กหนึ่งครั้ง
แต่มันคือเรื่องเล็กนับครั้งไม่ถ้วน
ที่ถูกสะสมบ่มเพาะกันมา
แล้ววันหนึ่ง เมื่อมันถึงขีดสุด
เพียงมีอะไรสะกิดนิดเดียว
ชนวนเล็กๆ นั้นก็เพียงพอจะทำให้อะไรก็ตาม
แม้แต่ความรักที่สะสมบ่มเพาะมายาวนาน
พังครืนทันที

มันไม่ใช่เหตุการณ์ใหญ่ๆ ครั้งเดียว
แต่มันคือเหตุการณ์เล็กๆ หลายครั้งต่างหาก

Friday, May 17, 2013

All of the sudden

หลังจากน้องชายโหลด How I Met Your Mother ให้ดู
จู่ๆ ก็เลิกซื้อดีวีดีผีสีลมไปเลย
หลังจากพบว่าแอพดูซีรีส์มีซีรีส์ให้ดูนับล้าน
จู่ๆ ความคลั่งซีรีส์ก็หดหายไปเลย
หลังจากรู้จักกับ UPPERCASE magazine
จู่ๆ ความคลั่งนิตยสารก็กลับมาอีกครั้ง
หลังจากงานยุ่งจนขี้เกียจออกกำลังกายได้สามเดือน
จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองกลับมาอ้วนอืดมากอีกครั้ง
หลังจากได้ภาษีคืนเป็นปีแรก
จู่ๆ ก็หันมาหมกมุ่นกับการเก็บตังค์และลงทุน
หลังจากอ่านหนังสือ เรื่องเล่าจากร่างกาย
จู่ๆ ก็เกิดอยากทำหนังสือที่ตลกน้อยลง แต่เน้นเนื้อมากขึ้น

หมู่นี้พักรบกับซีรีส์ชั่วคราวก่อน (ยกเว้น HIMYM)
และตะลุยอ่านหนังสือและนิตยสารอย่างบ้าคลั่ง

Saturday, May 11, 2013

Long-lost love


ไม่อยากจะเชื่อว่า แค่การได้ไปเยือนร้าน The Booksmith
ที่เชียงใหม่เมื่อต้นเดือน แค่ครั้งเดียว
จะทำให้เกิดแรงกระเพื่อมต่อเนื่องมาจนถึงวันนี้
ความรักในแมกกาซีนของเราที่เคยสรุปไปแล้วในบทนึงของชีวิต
ว่าอาชีพทำนิตยสารมันคงเป็นเพียงภาพลวงตา
ตอนนี้มันกลับมาโชติช่วงใหม่ในหัว ในตัว และในใจ
อย่างร้อนแรงและสว่างแสงมาก
ทั้งหมดนี้เกิดจากนิตยสารเล่มเดียว นั่นคือ UPPERCASE




















ทำไมไม่รู้ พอได้หยิบจับ ได้ลูบไล้ ได้ดมดู
ความรักเก่าๆ ก็กลับคืนมาหมด
แพชชั่นในนิตยสารที่นึกว่าทำหายไปหมดแล้ว ก็กลับมาเติมเต็ม
เหมือนร็อกแมนวิ่งไปชนถัง E สิบถังรัวๆ
และคราวนี้ทำให้ถึงกับกลับมาวางแผน
คิดการใหญ่ให้มันเดย์
และ/หรือ อื่นๆ ต่างๆ อีกมากมายใหญ่โต

วันนี้ เราจำได้หมดเลยว่า เราเคยคลั่งการอ่านแมกกาซีนมากแค่ไหน
และเราเคยอ่านแมกกาซีนเยอะแค่ไหนในแต่ละเดือน
มันเป็นเพื่อนกับเรามายาวนานมาก

วันนี้ เรากลับมากว้านซื้อนิตยสารอ่านอีกครั้ง ทั้งไทยและเทศ
เรานั่งคุยกับเบนเส กับพี่ตุ๊ก กับโอ
เราอยากปั้นมันเดย์ในฐานะนิตยสารกระดาษ
เรามีภาพที่ค่อนข้างชัดขึ้นเรื่อยๆ ในหัวแล้ว
แต่ในเรื่องการตลาดและการขาย
เราต้องการโมเดลใหม่สำหรับสิ่งนี้

วันนี้ลองซื้อแมกกาซีนไทยที่เคยเห็นประจำบนแผง
แต่ไม่เคยตั้งใจอ่าน มาลองอ่านดู
พบว่า CG+ น่าผิดหวังมาก ทั้งเนื้อหาและอาร์ต
พบว่า playground น่ารัก แต่ไม่ใช่ทางเรา
พบว่า WAY ไม่ใช่ของอ่านเครียดอย่างที่เคยคิดว่ามันเป็นเลย
และนอกจากจะดี มันยังสนุกมาก
นั่งอ่านรวดเดียวเกือบหมดเล่ม
(บทสัมภาษณ์เกี่ยวกับเกาหลีเหนือสนุกมาก)

ตั้งแต่นี้จะตะลุยอ่านแมกกาซีนทุกวัน

ดีใจที่ทุกวันนี้ ยังมีความรู้สึกใหม่ๆ เกิดขึ้นกับตัวเอง
ยังมีไฟใหม่ๆ จุดสว่างขึ้นในใจตัวเองอยู่เรื่อยๆ

Saturday, May 04, 2013

Mr.Postman

ไปอ่านเจอมาจาก Reader's Digest ชอบ









Things Your Mail Carrier Won’t Tell You


หลายสิ่งที่คุณพนักงานไปรษณีย์จะไม่บอกคุณหรอก
(แต่ก็คือแอบอยากบอก เลยมาบอกตรงนี้แทน >_<)


+เวลาเอาจดหมายใส่ตู้ เขาจะเอาซองที่ดูเหมือนจะเป็น 'ข่าวดี' วางไว้ให้ข้างบนสุด เช่น จดหมาย การ์ดอวยพร แม้แต่ซองที่เหมือนจะมีเช็คเงินสด ส่วนพวกใบเรียกเก็บค่าน้ำ ค่าไฟ บัตรเครดิต ฯลฯ เขาจะเอาซุกไว้ให้ล่างสุด น่ารักอะ ดูใส่ใจในความรู้สึก เป็นผมผมก็อยากจะเห็นอะไรดีๆ ก่อนตอนเปิดตู้จดหมายออกมาเหมือนกันนะ
+เขาบอกว่า พวกเราส่วนใหญ่รักงานที่เราทำนะครับ คุณบุรุษไปรฯ คนหนึ่งบอกว่า ภรรยาผมคนนี้ ก็เป็นคนที่ผมเคยส่งจดหมายให้ที่บ้านเธอมาก่อน เพื่อนรักที่ผมสนิทที่สุด ก็เช่นกัน
+คนนึงบอกว่า ผมเคยเจอคนใส่จดหมายไว้ในตู้ แล้วแปะเหรียญไว้ 44 เซนต์ด้วยเทปใสไว้บนซอง แล้วยังไงครับ วันรุ่งขึ้น ผมก็ต้องไปเข้าแถวเหมือนชาวบ้าน เพื่อซื้อสแตมป์มาแปะจดหมายให้คุณอยู่ดี
+อีกคนเล่าว่า วันหนึ่ง ผมไปส่งจดหมายที่บ้านหลังหนึ่งให้กับผู้หญิงที่กำลังป่วยมาก ลูกสาวของเธอกล่าวกับผมว่า คุณอยากจะบอกลาแม่หน่อยไหมคะ ผมเข้าไปหาเธอ ซึ่งกำลังหลับ และไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมอยู่ที่นี่ ผมจับมือเธอไว้ และสวดภาวนาให้เธอและครอบครัวของเธอเงียบๆ... ในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงให้หลัง ผมก็ไปส่งจดหมายให้อีกบ้านหนึ่ง ผู้ที่ออกมารับผมที่หน้าประตูเป็นคุณพ่อหมาดๆ ผู้หนึ่ง เขาเล่าด้วยท่าทีปลื้มปิติว่า ภรรยาเพิ่งคลอดลูกชาย... ทั้งหมดทำให้ผมเห็นภาพของชีวิตที่ชัดเจนเหลือเกิน หนึ่งชีวิตจากไป อีกหนึ่งชีวิตเกิดมา เป็นวัฎจักรเช่นนี้ ภายในวันเดียวกันนั่นเอง...


เคยคิดเหมือนกันว่า อาชีพที่น่าอิจฉาประเภทหนึ่งคือ
งานที่ได้เจอผู้คนหลากหลายไม่ซ้ำหน้า
แม้จะเพียงผ่านมา แล้วก็ผ่านไปก็ตามที
ไม่ว่าจะคนขับแท็กซี่ คนเก็บเงินทางด่วน
หรือแม้แต่พนักงานไปรษณีย์อย่างนี้ก็ตาม























(เก็บต้นฉบับไว้อ่านอ้างอิง)

Postal workers from around the country reveal the secrets of their profession and why mail is still the country's best bargain.

7. Paychecks, personal cards, letters—
anything that looks like good news—I put those on top. Utility and credit card bills? They go under everything else.

14. Most of us love our jobs and the people we serve. I met my wife and my best friend because I was their letter carrier.

19. I have people who leave a letter in their box and tape 44 cents in change to it. I’ll take it, but the next day I’ll be waiting in line like everyone else to buy you a stamp.

20. One day while delivering to a woman who had been very sick, her daughter met me by the mailbox and asked me if I wanted to say goodbye to her mom. She was unconscious and didn’t know that I was there, but I held her hand and said a silent prayer for her and her family. It wasn’t even an hour later when another customer met me at his door. He was a new father, overjoyed, telling me that his wife had just given birth to his son. The whole cycle of life, in just one day.

rd.com

Wednesday, May 01, 2013

Save the best for first


วันนี้ได้มากินซุชิที่สึนามิ ตรงสี่แยกภูคำ เชียงใหม่
เลยได้สังเกตตัวเองข้อนึง
นั่นคือเมื่อก่อน ผมก็จะเหมือนใครๆ ที่
'อะไรอร่อยที่สุด เก็บไว้กินทีหลัง'
ถ้าเป็นเย็นตาโฟก็ลูกชิ้นกุ้ง อะไรยังงี้
แต่หลังๆ รู้สึกว่า หลักการคิดแบบนี้
เหมือนจะดูดี เพราะจะได้จบมื้ออาหารด้วยความอร่อยที่สุด
แฮปปี้เอ็นดิ้งย่อมดีกว่าแฮ้ปปี้บีกินนิ่งเสมอ
(เคยเขียนถึงเรื่องนี้ไว้ใน abc จบสุข vol.1)
แต่พบว่า แม้เราจะเก็บของดีที่สุด อร่อยที่สุดไว้ท้ายสุด
มันก็อาจจะไม่ใช่การจบสุขได้เสมอไป
ระลึกขึ้นมาได้จากการกินอาหารญี่ปุ่นนี่แหละ
เพราะถ้าเป็นเรื่องการกินแล้ว
อีกหนึ่งปัจจัยที่มีผลต่อความอร่อย คือความหิว-อิ่ม

เมื่อเก็บซุชิแซลม่อนและมากุโระไว้กินท้ายสุด
พบว่ามันจะกลายเป็นอร่อยน้อยได้ เพราะเราเริ่มอิ่ม
บางทีกูอิ่มไปตั้งนานแล้วด้วยเหอะ
คิดได้ดังนั้น ปัจจุบันเปลี่ยนใหม่
คำแรกคือแซลมอนของโปรดที่สุดเลย
แล้วตามด้วยมากุโระ สิ่งโปรดอันดับสอง

ของที่อร่อยมาก
มันเลยอร่อยยิ่งกว่า
เพราะเรากำลังหิวที่สุด




Thursday, April 25, 2013

Creativity fatigue

สองสามวันมานี้ เพลียเป็นพิเศษยังไงชอบกล

รู้สึกเหนื่อยสมอง นอนหลับไม่สนิท ตื่นมาแล้วหัวไม่โล่ง
ช่วงนี้สิ่งที่ต้องทำมันเยอะ 
และมันไม่ใช่ความงานยุ่งในรูปแบบเดิมๆ อย่างที่เคยเป็น
นั่นคือ โดยปกติ ต่อให้ต้องทำหนังสือ 10 เล่ม 
ก็ยังนับเป็นสิ่งเดียว คือการทำหนังสือ
แต่ตอนนี้ต้องทำหลายโปรเจ็กต์ หลายสิ่งอย่างชนิดพันธุ์
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ งานที่เคยชอบ นั่นคืองานสร้างสรรค์
เริ่มกลายเป็นสิ่งที่สนุกน้อยลงเรื่อยๆ
เพราะมีความรู้สึกว่า ครีเอทีฟไอเดียแม่งหมดถัง
จากที่ต่อมสร้างสรรค์เคยลัลล้า 
ตอนนี้ต่อมสร้างสรรค์แม่งล้า

อุปสรรคที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความกังวลใจว่าจะไม่สำเร็จ
แต่เป็นความรู้สึกโดนความไม่ถูกใจในสิ่งที่ตัวเองคิดบั่นทอน
และด้วยความที่ต้องทำหลายอย่าง
มันเลยไม่มีโอกาสทำอะไรให้เสร็จเป็นอันๆ ไป
เคลียร์สิ่งต่างๆ ให้สำเร็จไปทีละก้อน
ปัจจุบันนี้คือ มี 5 สิ่งที่คั่งค้าง และยังรอการสะสาง
มันสนุกน้อยลง แต่ละคืนเลยหลับไม่สนิทอย่างว่า

 สังเกตตัวเองว่า ตอนนี้เกมที่เล่นบ่อยคือ Solitaire
 เพราะอยากให้สมองพักเรื่องการสร้างสรรค์เสียบ้าง
 อยากทำอะไรแบบโง่ๆ ง่าวๆ
หรือทำงานที่ใช้มือ ใช้แรง แต่ไม่ใช้ความคิด 
สมองจะได้พักผ่อน
ที่จริงนี่น่าจะเป็นข้ออ้างชั้นเยี่ยมในการกลับไปชกมวยนะ

วันนี้อาการหนักขึ้นอีก เลยเริ่มกังวล
ลองเสิร์ชโดยใช้คำที่คิดเองมั่วๆ ว่า Creativity fatigue
เพราะคิดเอาเองว่า ตัวเองล้ากับเรื่องครีเอทีฟ
ปรากฏคำนี้แม่งมีจริงๆ เว้ย 
เมื่ออ่านดู ก็รู้สึกว่าน่าสนมาก
อันแรกที่อ่านเป็นบทความทางการศึกษา
เขานิยามไว้ใกล้เคียงกับที่เดาไว้
นั่นคือ เป็นภาวะอิ่มตัวทางการเรียนรู้และสร้างสรรค์
อาจเพราะรู้สึกตามโลกไม่ทัน 
เช่นครูบาอาจารย์ที่สอนชั้นประถมมาตลอดชีวิต
อยู่กับตำราเล่มเดิมมาตลอดชาติ
จนวันหนึ่ง ก็ตามเด็กไม่ทัน รู้สึกตกยุค ตกรุ่น
ไม่รู้ว่ามีอะไรใหม่ข้างนอกนั้นบ้าง
พอยื่นหน้าออกไปดู ก็เจออะไรต่อมิอะไรเยอะมาก
จนไม่รู้จะเริ่มตรงไหนก่อน 
หรือไม่คิดว่าตัวเองจะเปิดหัวรับได้ไหว
ประมาณว่าแค่เห็นสิ่งใหม่ๆ ก็เหนื่อยใจแล้ว

แต่ก็ได้ไปเจอบทความที่ตรงกับการงานของเรามากกว่านั้น
ที่เว็บชือ justeffing.com บทความเขียนโดย Julie Gray
เธอเป็นนักเขียน เป็นบล็อกเกอร์ 
เป็นครูสอนเขียนบท (a screenwriting teacher)
และที่ปรึกษาด้านการเขียนนิยาย (a novel and script consultant)

(ตัดตอนที่ชอบเอาไว้อ้างอิงภายหลัง)

"We have to make regular writing/brainstorming/outlining time in our day to day, we know that, right? But we also have to know when it’s enough for that day. Because pushing it beyond the limits of having fun kills creativity. You’ll start to generate bad ideas, you’ll start to mess up what you had done with your story...”

“...So make sure you quit when you’re ahead. For whatever reason, Creativity Fatigue kicks in at some point and you have to recognize it and be okay with walking away from it for that day..."

“...Most of us creatives – and I include musicians, poets, writers and artists in that – get ideas and breakthroughs and inspirations when we aren’t even trying. We have to be still to let it in sometimes...”

“...So if you’re writing and you suddenly feel the walls closing in, if your ideas are drying up, if you’re not having fun anymore – walk away. Go do something else. Just put your behind in that chair again tomorrow and trust that in between, your brain really is still working out the problem. It will save you the awful feeling of Creative Fatigue, it could save your script from some really bad decisions and hey – how many other people in life get to walk away from the work and know the brain will still figure it out? It’s pretty cool...”

สรุปสั้นๆ จูลี่บอกว่า เราต้องรู้ตัวเองว่า 
วันนี้คิดพอแล้ว และหยุดซะ 
เพราะถ้ายังเค้นต่อไป เราอาจจะถูกบังคับให้ยอมรับไอเดียห่วยๆ 
ที่เราจะกลับมายี้เองในวันรุ่งขึ้น

นักคิดส่วนใหญ่จะผุดไอเดียดีๆ 
ในยามที่ไม่ได้พยายามฝืนปลิ้นคั้นมันออกมา
ดังนั้น เราต้องเชื่อใจสมองของเราว่า
ในวันพรุ่งนี้ มันจะยังกลับมาให้อะไรแจ๋วๆ กับเราได้เหมือนเดิม

อ่านหลายรอบ ตั้งสติ แล้วคิดดูดีๆ ก็พบว่า
อืม กูเป็นแบบนี้แหละ แต่มันเรื้อรัง
ใช่ ต้องเรียกมันว่า ภาวะสมองส่วนสร้างสรรค์อ่อนล้าเรื้อรัง

ส่วนหนึ่ง ปัญหาของผมก็เหมือนครูประถม
คือพยายามก้มหน้าก้มตาผลิตนักเรียนดีๆ ออกมาเรื่อยๆ
แต่ไม่ได้พัฒนาตัวเองให้มีศักยภาพที่ดีขึ้นด้วยในระยะยาว
เอาง่ายๆ ปัญหาคลาสสิก
เวลาและสมาธิจะอ่านหนังสืออื่นๆ ต่างๆ ยังจะไม่มีเลย

ตอนนี้ คิดอยากดึงตัวเองออกจากวัฏจักรรูทีน
แล้วออกท่องยุทธภพเพื่อฝึกวิชาใหม่ๆ ให้เก่งขึ้น
และนั่นเป็นคำตอบของสิ่งที่ควรทำต่อไปในชีวิต
หนึ่ง ต้องหาคนมาสานต่องานประจำ
สอง เตรียมตัวเองให้พร้อมเรื่องการเงิน

ผมไม่ได้คิดไปถึงการลาออกจากอะบุ๊กเลยนะ
เพียงแต่ไม่อยากให้ตัวเองวนอยู่ในอ่าง

ก็กลายเป็นความโชคดี 
ที่การมีโปรเจ็กต์หลากหลายเข้ามายังงี้
มันทำให้เรารู้ตัว เพราะเห็นได้ชัดเจนว่า
ต้นทุนทางวัตถุดิบที่มีอยู่ในตัวตอนนี้น่ะ 
มันไม่พอเสียแล้ว


2 พฤษภาคมที่จะถึงนี้
ครบรอบการทำงาน 6 ปี ที่สำนักพิมพ์อะบุ๊ก


Tuesday, April 23, 2013

กะเพรา อินสแตนท์

ผมชอบกินกะเพรามาก กะเพราที่แม่ทำอร่อยที่สุดในโลก
แต่เวลาแม่ไปเที่ยว จะไม่มีใครผัดกะเพราให้กิน
วันก่อนนู้นไปเดินฟู้ดแลนด์ ผ่านแผนกซอสผัดกะเพราสำเร็จรูป
เพิ่งรู้ว่ามันมีเยอะยี่ห้ออย่างนี้ เป็นสิบละมั้ง
เลยสุ่มเลือกมาประมาณ 5 ยี่ห้อ
กะจะทำการทดลองว่า ยี่ห้อไหนอร่อยที่สุด
จะได้ตุนไว้ช่วยเหลือตนเองทางโภชนาการเวลาแม่ไม่อยู่

ลองไปแล้วสองยี่ห้อ 
ยังไม่เจอที่อร่อยเลย -_-


Sunday, April 21, 2013

กลายเป็นเรื่องธรรมดา

วันนี้ตระหนักขึั้นมาได้อย่างจริงจังว่า
การไม่ไปออกกำลังกาย กลับกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว
เป็นสัญญาณที่ไม่ดีเอามากๆ
นึกถึงช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่นานเท่าไหร่นี้
ที่ยังไปยิมสัปดาห์ละ 4 วันโดยเฉลี่ย
และยังเคยไปชกมวยห้าวันติด
ถ้าตอนนี้จะมาไล่เหตุผล คงบอกได้หลายข้อ
แต่ที่รู้แน่แก่ใจก็คือ เหตุผลพวกนั้น มันก็ข้อแก้ตัวทั้งเพ
เพราะฉะนั้น ก็ไม่ต้องพูดพล่ามโน่นนี่นั่นให้เยอะ
ก็แค่กลับไปเล่นให้บ่อยเหมือนเดิม ก็จบ
ทำได้แหละ จะทำหรือเปล่าเท่านั้น

"ไม่คิดถึงกันแล้วเหยอ" วิญญาณนวมกู่ร้อง...

Friday, April 19, 2013

เต็มที่ เต็มใจ ให้ประชาชน

วันนี้ได้จัดการยื่นเอกสารภาษีด้วยวิธีอิเล็กทรอนิกส์
สนุกมาก เป็นประสบการณ์ที่น่าประทับใจ
ปกติไปยื่นภาษีที่สำนักงานเขต
แต่หนนี้ (ตั้งแต่ปลายเดือนที่แล้ว) ก็ยังไปยื่นที่เขต (อ้าว)
ไปเจอคุณพี่ที่เขาแนะนำว่า ยื่นทางเน็ตสิน้อง
เดี๋ยวพี่ช่วย มันสะดวก แถมได้เงินคืนไวกว่ายื่นกระดาษมาก
ว่าแล้วคุณพี่แสนดีก็พาผมไปนั่งหน้าคอม
แล้วจัดการกรอกทุกสิ่งให้ชมเป็นขวัญตา
ซึ่ง เออ มันง่ายจริงๆ นี่หว่า โอเค ปีหน้าจะทำอย่างนี้
(ปัญหาเดียวที่ได้ยินมาคือ ต้องใช้ Internet Explorer เฉี้ยมาก)

ต้นเดือนเมษาที่ผ่านมา ก็มี sms ส่งมาบอกว่า
ให้เข้าไปที่ เว็บกรมสรรพากร เพื่อยื่นเอกสารเพิ่มเติม
พอลองเข้าไปด้อมๆ มองๆ ดูก็พบว่า เออ เว็บไม่เหียกนะ
ดูไม่ยาก และสะอาดตาดี
แม้จะไม่ชิคไม่อะไร แต่ดีไซน์ก็ไม่จัดว่าต่ำ

คลิก บริการอิเล็คทรอนิกส์ > ยื่นแบบผ่านอินเทอร์เน็ต > ตรวจสอบผลการคืน
ล็อกอินด้วยเลขที่บัตรประชาชน ใส่พาสเวิร์ด
ก็ได้ข้อความว่า ให้ยื่นเอกสารนู่นนั่นนี่เพิ่มเติม
ซึ่งส่งได้หลายทาง ไปรษณีย์ก็ได้ แฟ็กซ์ก็ได้
และที่ผมเลือกเพราะเห็นว่าโคตรง่าย คืออัพโหลดเอกสารส่งทางเว็บ
สิ่งเดียวที่ผมต้องทำ คือไปแปลงกระดาษที่มีให้เป็น PDF เท่านั้น
จึงไปจ้างเขาสแกน แผ่นละ 15 บาท (ก็ไม่ได้แพงมาก)
ได้ PDF file มา ก็จัดการส่ง แป๊บเดียวเสร็จ

เป็นอีกหนึ่งเรื่องในชีวิต ที่ได้บอกตัวเองอีกแล้วว่า
รู้ว่าง่ายยังงี้ กูทำตั้งนานแล้ว -_-



Thursday, April 18, 2013

How to crack an egg with one hand

วันนี้มีเรื่องน่าตื่นเต้น
ก่อนเจียวไข่ จู่ๆ ก็นึกขึ้นมาได้ว่า
มีอย่างหนึ่งที่อยากลองทำมานานแล้ว
แต่มันดูเหมือนเป็นเรื่องยากชิบเป๋ง
และคนที่ทำได้ก็เห็นจะมีแต่เชฟใหญ่ในทีวี
นั่นคือการต่อยไข่ด้วยมือเดียว

พอคิดขึ้นมา มือก็ทำเลย
ลองวางมาด แล้วทำเหมือนที่เห็นในทีวีนั่นแหละ
ปรากฏ ครั้งแรกก็ทำได้เลยว้อย ไม่น่าเชื่อ
นึกว่าจะยากกว่านี้เสียอีก
(แต่พอลองครั้งหลังๆ ที่ตั้งใจมากขึ้น กลับทำไม่ได้
ซึ่งครั้งแรกที่ไม่คิดอะไร แล้วทำเลย กลับทำได้)

ลองนึกดูว่า ปัจจัยสำคัญคืออะไร
เลยคิดสรุปเอาเองว่า
หนึ่ง มือใหญ่ได้เปรียบ
เพราะพอไข่แตก ต้องใช้มือเดียวแบะ แยก แหกมันออก
ให้ไข่ข้างในไหลออกมา
สอง ต้องต่อยแรงๆ
แรงพอให้เปลือกไข่แยกง่าย
แต่ไม่แรงเกินไปจนไข่ทั้งใบแหลกสลายไปกับมือ

จู่ๆ ก็รู้สึกว่าสกิลการทำครัวของตนเพิ่มเลเวลสูงขึ้นมาก
ทั้งที่ฝีมือทำอาหารอื่นๆ ยังต่ำเท่าเดิม

-_-
















ปล. เพิ่งนึกได้ ลองไปเสิร์ชดูในยูทู้บ
ก็ไปเจอคลิปฮาวทูที่มึงสอนกันจริงจังมาก
มีขั้นมีตอนแทบจะเขียนหนังสือได้หนึ่งเล่มมาก


Wednesday, April 17, 2013

ความดีงามเดิมๆ

ผมเขียนบล็อกเก็บไว้อ่านเอง เพื่อบันทึกความทรงจำ 
เพื่อบันทึกความคิด เผื่อเอาไปเขียนต่อยอดภายหลัง
นั่นเป็นเหตุให้ไม่โปรโมตใดๆ
แต่ถ้าจะมีใครหลงเข้ามาได้อ่าน ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่
เพราะผมคงไม่เขียนในสิ่งที่เป็นความลับส่วนตัว
แต่บางครั้งอาจเขียนถึงหนัง
และบางครั้งอาจสปอยล์
จึงขอใส่ *Spoiler Alert* เอาไว้สักหน่อย
สำหรับผู้ที่บังเอิญหลงเข้ามาอ่านก็แล้วกันนะ

ได้ดูพี่มากฯ รอบสอง (เพราะไปดูกับจักร) ซึ่งยังตลกอยู่เลย
สิ่งที่ชอบที่สุด นอกจากความผีเปรตของมุขต่างๆ แล้ว
ได้แก่การจบแบบเนี้ย แบบไม่หล่อๆ ไปตามความดีงามตามเดิมๆ
ซึ่งในที่นี่คือ "We must move on." 
นาคตายไปแล้ว จะมาอยู่กับคนได้ยังไง
ผีก็ต้องอยู่ส่วนผีสิ มันถึงจะถูก

ไอ้คำว่า "ถึงจะถูก" เนี่ย เจอบ่อยๆ แล้วน่าเบื่อ
มันทำให้เราไม่คิดว่า จะมีความเป็นไปได้อื่นอีกเลย
เพราะถ้าไม่ใช่ "ตามที่ถูก" มันก็ต้อง "ผิด" จบ

ผมคิดว่า ถ้าโต้ง (บรรจง) เลือกจบแบบ
ในที่สุดนาคก็ไปผุดไปเกิด
มากก็ move on (อาจมีการบวชให้) โอ๊ย ดีง้ามดีงาม 
หนังเรื่องนี้จะไม่มีเสน่ห์เลย
และผมจะไม่ชอบมันเลย
คือมันอาจทำให้ข้อดีงามในความตลกกลายเป็นศูนย์ไปเลยได้
ในสายตาของผมน่ะนะ

ยิ่งดู ยิ่งคิดเกี่ยวกับมัน ยิ่งชอบ ซึ่งไม่นึกว่าจะชอบขนาดนี้ด้วย














เคยได้ยินว่า การสร้างหนังสร้างละคร
เขาต้องยึดหลักว่า ตอนจบเนี่ย
ไม่ว่ายังไง คนดีต้องได้ดี คนชั่วต้องได้ชั่ว
เพราะเขาต้องสอนคนให้รู้ถูกรู้ผิด
ที่สุดแล้ว ทุกอย่างต้องเขาแก๊ป 'ความดีงามเดิมๆ' ไปซะหมด
น่าเบื่อ น่าเบื่อมาก

สิ่งที่ผมเชื่อที่สุดในจุดนี้ของชีวิต
คือความหลากหลายของคนและโลก
ผมเชื่อว่าดีมีได้หลายแบบ
สำเร็จมีได้หลายแบบ
ความสุขมีได้หลายแบบ
ผมเชื่อว่าคนเราก็มีหลายแบบ
และบางทีก็ไม่ต้องมานั่งแบ่งแบบกันก็ได้
ว่าอันไหนดีอันไหนด้อยกว่าอันไหน

ผมไม่เชื่อในการสั่งสอนกัน
ผมไม่เชื่อในการตัดสินกัน
ผมเชื่อว่าคนเราควรเปิดใจกว้างๆ
ผมเชื่อว่า สิ่งที่คนเราไม่ควรยึดติดมากที่สุด 
คือตัวเอง

ว่า บาปหนักหนาที่สุดของมนุษย์ 
ไม่ใช่ราคะ (lust)
ไม่ใช่ตะกละ (gluttony)
ไม่ใช่โลภะ (greed)
ไม่ใช่ความเกียจคร้าน (sloth)
ไม่ใช่โทสะ (wrath)
ไม่ใช่ริษยา (envy)

แต่มันคือ อัตตา (pride) 
ไอ้ ego ของคนเรานี่แหละ ร้ายที่สุดแล้ว
และเมื่ออีโก้เป็นพิษขึ้นมา จะสาหัสที่สุด
ทั้งกับตัวเอง ทั้งกับชาวบ้านร้านตลาด

อัตตาเป็นยอดแห่งบาปทั้งปวง 
มันหมายถึงความต้องการเป็นผู้ที่มีความสำคัญเหนือผู้อื่น 
มันคือการที่เรารักตนเองอย่างมากมายล้นพ้น
หลงในอำนาจและรูปลักษณ์ของตัวเอง
และที่น่ากลัวที่สุด หลงว่าตัวเองเป็นคนดี

อันนี้ต้องไปอ่านหลวงปู่ชาซะสิ
ผมไม่เคยรู้จักหลวงปู่ชา
แต่เจอแค่ประโยคเดียวของหลวงปู่ ผมก็ก้มกราบเลย
หลวงปู่บอกว่า "จงทำดี แต่อย่าติดดี"
จงอยากทำดี
แต่อย่าอยากเป็นคนดี
ให้ทำความดีเพื่อความดี ทำความดีเพราะรักความดี
แต่ไม่ได้ทำเพื่อจะเป็นคนดี 
เพราะถ้าเราเป็นคนดีแล้ว 
เราจะเป็นทุกข์

ตั้งแต่ได้ยิน wisdom เกี่ยวกับพุทธศาสนามาเนี่ย
นอกจากเรื่อง 'อุเบกขา' แล้ว
ก็มีเรื่อง 'ทำดี อย่าติดดี' นี่แหละ โดนสุด
ขอกราบรัวๆ

Tuesday, April 16, 2013

"Are you an effective team?"


ไปดูหนังเรื่อง Oblivion เจอคำสะดุดหู
โดยความหมายน่าจะเป็น "เธอสองคนยังเป็นทีมที่มีประสิทธิภาพอยู่หรือเปล่า"
แต่หนังใช้ว่า "Are you still an effective team?"
ก็ตงิดๆ สงสัยว่า ทำไมเขาไม่ใช้ efficient วะ?
กลับมาเลยลองหาดูว่า ตกลงมันมีความแตกต่างระหว่าง
Effective กับ efficient ไหมหว่า

Effective เท่าที่เคยได้ยินก็คือ มีผลบังคับใช้ เช่น
The new laws will become effective next month. ยังงี้
(ตัวอย่างจาก Cambridge)
แต่ปรากฏว่า พอไปค้นดูแล้ว มันมีอีกความหมายนึง
นั่นคือ ได้ผล หรือ ได้ผลดี
ในกรณีนี้ "Are you an effective team?" เลยแปลได้ว่า
'ยังสามารถทำงานได้ตามเป้าหมายหรือไม่' เท่านั้น

ในขณะที่คำว่า efficient จะแปลว่า ทำงานได้ตามเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ

Effectively = producing the intended result
Efficiently = prodcuing a satisfactory result without wasting time or energy

ยกตัวอย่างการทำอาหาร
ถ้าเป็นพ่อครัวที่ effective คือ ทำอาหารออกมาจนเสร็จ และกินได้
แต่อาจจะใช้เวลาทั้งวัน และเงอะงะอยูในครัว
โดนมีดบาดยี่สิบแผล หุงข้าวก็ไหม้ ต่อยไข่แล้วหกเละเทะไปสองโหล
แต่ย้ำว่า ในที่สุดอาหารก็เสร็จออกมา และสามารถกินได้ ไม่แย่อะไร
ถ้าเป็นพ่อครัวที่ efficient คือ ทำอาหารออกมาจนเสร็จในเวลารวดเร็ว
และกินได้ แถมอร่อยอีกต่างหาก


Andrea Riseborough ในบทของ Victoria เมียทอม (ครูซ)

Friday, April 12, 2013

Truth About The Boys

อ่านหนังสือจบไปอีกสองเล่ม
เล่มแรก คือปะป๊าครองพิภพ ของ ไอ้แอนนนนน
สนุก อ่านเพลิน ได้รู้อะไรใหม่ๆ เยอะ และอ่านรวดเดียวจบ





















เล่มสอง คือ นายใน เล่มนี้ฮอตโคตรในงานหนังสือที่ผ่านมา
อ่านไปตะลึงไป อะไรที่ไม่เคยรู้ก็ได้อ๋อกันยาวเหยียด
สนุกอย่างยิ่ง และรวดเดียวจบเช่นกัน
ทำให้อยากหาอะไรที่เกี่ยวเนื่องอ่านต่ออีกหลายเรื่อง
และคิดว่า ถ้าเอาไปทำเป็นซีรีส์จะแซบเหี้ยๆ




















หลายวันมานี้ไปเดินหาหนังสือแนวบันทึกเดินทาง
พบว่าทุกคนเดินทางอย่างหล่อกันหมด
ครุ่นคิด เคี่ยวคุณค่า และเค้นคำคมกันตลอดเวลา
มันดีนะ แต่มันไม่มีแนวอื่นเหรอวะ
อยากอ่านสนุกๆ แบบคุณวาณิชเขียน
หรือคุณมนันยาเขียน
หรือวิชัยเขียน
เอาล่ะ ในเมื่อมันไม่มี
ยังงี้กูเขียนเอง
ตุลานี้เจอกัน

Thursday, April 11, 2013

Why We Love What We Love


หนึ่งในเหตุผลที่เราชอบวิชาที่เราชอบ
ก็มาจากการที่เราทำมันได้ดี เช่น
ท่องศัพท์อังกฤษแล้วจำได้
หรือแก้โจทย์เลขแล้วทำได้
พอทำได้ก็รู้สึกสนุก อยากทำอีก
พอถูกชมก็ภูมิใจ และอยากเก่งขึ้นอีก
ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็น่าจะเป็นเพราะพรสวรรค์
แต่อีกส่วนหนึ่งก็ต้องยกความดีให้ครูบาอาจารย์

เวลาคนถามว่าทำไมชอบภาษาอังกฤษ
หรือทำไมเก่งอังกฤษ ผมก็ยกความดีให้ครูเช่นกัน
ผมโชคดีที่ได้ครูดีหลายคน
แต่สิ่งที่ผมจำได้จากครูแต่ละคน
ไม่ใช่หลักการท่องศัพท์ หรือเทคนิคการทำข้อสอบ
สิ่งที่ผมจำได้ คือความรู้สึกของตัวเองเวลาเรียน
และสิ่งที่ครูทำให้เรารู้สึกเวลาอยู่ในห้องเรียน
ผมไม่ใช่เด็กใฝ่เรียน ไม่ได้รักการมาโรงเรียนเลย
ผมจึงจะจำได้ ถ้าคาบวิชาไหนเรามีความสุข
มันมักเป็นวิชาภาษาอังกฤษ

เมื่อครูคนไหนทำให้เรารู้สึกดีกับการได้เรียนรู้
เราก็จะสนุก และอยากอยู่ในห้องเรียนของวิชานั้นๆ
และเมื่อเรารู้สึกดีกับการเรียนวิชาอะไร
เราก็จะเรียนมันอย่างตั้งใจ และจำได้ไปเอง

ครูจำนวนมากที่โคตรเก่ง แต่ถ่ายทอดไม่ได้เรื่อง
อันนี้ยังไม่เท่าไหร่ ถ้ารักจะเป็นครูจริงๆ มันก็พัฒนากันได้
แต่ถ้าเป็นครู แต่ไม่เคยแคร์ว่าเด็กได้ในสิ่งที่เราสอนไหม
อันนี้ก็ไม่ควรเป็นครู ควรไปเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉยๆ ซะ

ครูบางคนเก่งมาก พอเจอศิษย์หัวทึบหน่อยก็ไม่รักไม่เอ็นดู
ครูบางคนเก่งมาก ก็เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางจักรวาล
จิตใจไม่มีช่องว่างให้ความเมตตา เพราะเต็มแน่นไปด้วยอีโก้

จิตใจที่อยากจะสอนจริงๆ ต่างหาก
ที่สำคัญสำหรับคนเป็นครูที่สุด


Wednesday, April 10, 2013

เพื่อนผู้อยู่ในบ้าน

งานหนังสือรอบนี้ซื้อหนังสือน้อยลงเยอะ
เพราะเข็ดกับการขนซื้อมามหาศาลแล้วอ่านไม่ทัน
เล่มนี้เป็นเล่มที่คิดถึง และมีคุณค่าทางจิตใจมาก
เป็นหนังสือที่รัก เพราะสนุก อ่านซ้ำนับจำนวนครั้งได้ไม่ถ้วน
และมั่นใจว่า การเขียนของผม ได้อิทธิพลจากคุณวาณิชมาเยอะมาก

นั่งอ่านจนจบอย่างมีความสุข


'เพื่อนผู้อยู่ในบ้าน'

Sunday, April 07, 2013

I Dream of Daddy

เพิ่งนึกออก เมื่อคืนฝันถึงพ่อ
เป็นฝันที่ดีที่สุดในรอบหลายปี
ฝันว่ายกทีวีลงมาจากห้องนอนตัวเอง
ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริงตั้งใจเอาลงมาให้ห้องนอนแม่
แต่ในฝัน พอยกลงมา ก็กลายเป็นห้องรับแขกที่บ้านเก่า
พ่อ ผม และน้องชาย ช่วยกันจัดห้องรับแขกใหม่
แล้วก็คุยกันไป หัวเราะกันไป สนุกมาก
สักพักแม่กับน้องสาวก็กลับมาถึงบ้าน
ซื้อของมาเยอะแยะ
จำไม่ได้แล้วว่า ครบหน้าห้าคนกันในฝันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
หรืออาจจะไม่เคยเลยด่วยซ้ำก็เป็นได้

ตื่นมาโคตรมีความสุข
คิดถึงพ่อจัง
แล้วมาอีกนะป๊า
มาบ่อยๆ เลยก็ได้นะ



ปล. เพิ่งนึกออกอีกฝันนึง ของเมื่อวันก่อน เหี้ยมาก
ฝันว่าไปเที่ยวญี่ปุ่น แล้วรู้ตัวตอนกลับมาถึงเมืองไทยแล้วว่า
ไม่ได้ซื้อของฝากกลับมาเลย ร้อนรุ่มกลุ้มใจมาก เหี้ยที่สึด!

Getting excited is very exciting

สองสามวันมานี่กลับมาตื่นเต้นอีกครั้ง
กับสิ่งที่ไม่ได้ตื่นเต้นกับมันมานานแล้ว
นั่นคือมันเดย์ที่ทำอยู่ทุกจันทร์
พอฮึดจะสู้กับมันขึ้นมาอีก ก็พบว่าสนุกดี
เท่าที่ผ่านมา ไม่ได้คิดว่ามันกำลังย่ำแย่
หรือตกอยู่ในภาวะน่าเป็นห่วงแต่อย่างใด
ตรงข้าม มันก็ไปได้สวย และค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ
แต่ผมก็มารู้สึกว่า มันราบรื่น และเรื่อยๆ เกินไปหน่อย
เลยคิดว่าควรต้องจับขึ้นมาเขย่าๆ สักนิด
เพื่อให้มันสดชื่น เพื่อให้มันน่าตื่นเต้น
สำคัญที่สุด เพื่อให้พวกเรานี่แหละรู้สึกตื่นเต้น
ความตื่นเต้นเป็นสิ่งสำคัญในการทำนิตยสารรายสัปดาห์
ถ้ารู้สึกปลอดภัยเกินไป มันจะเริ่มเนือย อันนั้นไม่น่าดี

การมานั่งผ่าตัดและปรับเปลี่ยนนั้นสนุกเหมือนกัน
เรามีโอกาสนั่งพิจารณามันอีกครั้งว่า
อะไรดีอยู่แล้ว ต้องให้มันทำงานต่อไป
อะไรเริ่มนิ่ง และไม่เวิร์ค ก็ต้องปรับและเปลี่ยนตามลำดับ

ท่ามกลางความเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง
คอลัมน์ The List ที่พวกเราห้าคนเคยเขียนกันคนละหนึ่ง
ผมตัดสินใจลดให้เหลือแค่ฉบับละหนึ่ง
ถูกแย้งว่า เรากำลังเขียนเข้ามือ กำลังคล่อง
และเรารู้แล้วว่าเราจะเขียนมันยังไง อย่าลดเลย
แต่ผมว่าเหตุผลนี้แหละที่ทำให้อยากลดมันลง
เพราะว่าเราเอามันอยู่แล้ว ก็น่าจะพอแล้ว
เราควรเอาเวลาไปปั้นอย่างอื่นต่อดีกว่า
มันต้องหาโจทย์ที่ท้าทายยิ่งขึ้น
เหมือนเล่นเกมจนเคลียร์ด่านนี้ได้แล้ว
ก็ไม่จำเป็นต้องเล่นมันซ้ำแล้วซ้ำอีก
แต่ควรเขยิบไปเล่นในเลเวลที่สูงขึ้น
เราจะได้เก่งขึ้นอีก

การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้นในซีซั่นที่ 7 (เดือนกรกฎาคม)
เหมือนมีเวลาเตรียมตัวนาน แต่ที่จริงไม่นานเลย

ยังไงก็ตาม ผมรู้สึกตื่นเต้น ที่ได้รู้สึกตื่นเต้นอีกครั้ง



Friday, April 05, 2013

JOEY : House sitting

ปีนี้โจอี้อายุ 14 ปีแล้ว กี่เดือนไม่รู้ ไม่รู้มันเกิดเมื่อไหร่
ตอนได้มาน่าจะไม่เกินเดือนสองเดือน
แต่จนเดี๋ยวนี้โจอี้ก็ไม่ทำตัวแก่
แทดแถขึ้นลงบันไดตลอดเวลาอย่างคล่องแคล่ว
แต่ก็มีหลายครั้งตกบันไดด้วย ขำดี

ทุกครั้งที่แม่ไปต่างจังหวัด มันจะไม่ยอมกินข้าว
มันชอบกินข้าว ไม่ชอบกินอาหารเม็ด
จะมีแม่เท่านั้นที่คลุกข้าวให้มันกิน
พอแม่ไม่อยู่ ผมจะให้อาหารเม็ด มันก็จะไม่แยแส
เหมือนรอให้แม่มาคลุกข้าวให้
สงครามจิตวิทยาก็เริ่มขึ้น
ผมจะไม่ยอมเปลี่ยนอาหารให้เด็ดขาด
ผ่านไปซักสองวัน มันก็จะยอมแพ้
ก้มหน้าเคี้ยวอาหารเม็ดดังกรุบๆ กรับๆ

เอาจริงๆ พวกเราในครอบครัวนิสัยคล้ายกันหมด
นั่นคือไม่สังคมจัด อยู่ลำพังเงียบๆ ได้
หมาเราก็เป็นยังงี้เหมือนกัน
ไม่รู้ว่าโดยบังเอิญหรือเปล่า น่าจะบังเอิญนะ
อะไรหมามันจะ mimic เรา socially ได้ด้วยเรอะ
แต่ยังไงก็อดสงสารมันไม่ได้ถ้ารู้ว่ามันต้องอยู่บ้านคนเดียวทั้งวัน

วันนี้อุตส่าห์รีบกลับเร็ว หวังว่ามันจะดีใจ
เปล๊า เฉยๆ กระดิกหางมาทักทายปกติ
แต่ก็นะ เราคาดหวังอะไรวะ
หวังว่ามันต้องกระโจนขึ้นอก
แล้วกระดิกหางรัวๆ แรงๆ อย่างดราม่าเหรอ
หมามันไม่ได้ดูหนังดูละครนะ
มันก็ดีใจเท่าที่ธรรมชาติบอกนั่นแหละ



Wednesday, April 03, 2013

Mama's gadget

แม่เป็นคนไม่เอาเทคโนโลยีอะไรเลย
มือถือก็ใช้เมื่อจำเป็นจริงๆ และโดยมากไม่เปิด -_-
ไม่นานมานี้เพิ่งตั้งใจหัดใช้เครื่องเล่นดีวีดีอย่างจริงจัง
เนื่องจากติดซีรีส์เกาหลี -_- จึงต้องดิ้นรนขวนขวาย
เห็นไหม เราชอบอะไรแล้วเราทุ่มเต็มที่บอดี้สแลม

ล่าสุดครับ เป็นคนติดเที่ยวมาก ซึ่งผมดีใจที่แม่เที่ยว
เวลากลับมาจากเดินทางเขาก็มีความสุข
ตอนจะไป เขาก็ตื่นเต้น มีความสุข
อย่างเมษา (คือเดือนนี้) มีทั้งหมดสามทริปด้วยกัน
นางร่าเริงมาก ไอ้เราก็พลอยสนุกไปด้วย

ล่าสุดอีกครับ เห็นแม่ไปเที่ยวบ่อย ก็บอกเขาว่า
หม่าม้าเอากล้องไปด้วยสิ จะได้ถ่ายรูปมาอวดกัน
แล้วก็ถ่ายรูปมาเก็บไว้ดู แม่ก็ไม่เอาอีก
กลัวเทคโนโลยีการถ่ายภาพสมัยนี้
ก็จะ ไม่เอาๆ ถ่ายไม่เป็น ยาก งง
ผมก็ ของสมัยใหม่นี่แหละยิ่งใช้ง่ายนะม้า
เอางี้ เดี๋ยวหากล้องให้ก็แล้วกัน
พอพูดออกไป ก็นึกได้ว่าไม่น่าเลย
เพราะเดี๋ยวแม่ต้องโวยวายแน่ๆ
"ไม่เอาๆ ไม่ต้องไปซื้อนะ เปลืองเงิน"
นั่นไง ว่าแล้วว่าต้องพูดยังงี้
"ไม่ใช่ เอากล้องที่มีอยู่แล้วนี่แหละม้า ไม่ได้ซื้อใหม่" อันนี้โกหก
"ใช้ง่ายด้วย กดอย่างเดียวเลย รูปออกมาสวยเช้ง" อันนี้พูดจริง

ในใจรีบวางแผน อยากให้แม่หัดเล่นแกดเจ็ตสนุกๆ
เลยคิดได้ว่า ไอแพดมินินี่แหละวะ เวิร์คสุด
ไม่มีอะไรจะถ่ายง่ายเท่่านี้อีกแล้ว
แถมถ่ายเสร็จ ก็ดูได้เลย ไม่ต้องไปหาที่อัดหรือปรินต์ที่ไหน

เลยแอบไปซื้อไอแพดมินิมาอันนึง
แล้วเอาเซอร์ไพรซ์แม่ โฮ้ย นางโวยวาย ตอนแรก
บอกว่าไปหาอะไรมาให้ทำยากๆ อีกแล้ว ไม่เอาๆๆ
แล้วนี่ซื้อมาเท่าไหร่ เท่าไหร่บอกมาเดี๋ยวนี้นะ
คาดคั้นยังกะลูกชายไปติดยา ฆ่าหมา ด่าพระที่ไหนมา
ผมจึงรีบโชว์ฟีเจอร์รัวๆ แล้วฮาร์ดเซลอย่างรวดเร็ว
ถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ โหลดเพลง ดูซีรีส์ฟรี
มีเกมถอดไพ่ (solitaire) ด้วยนะ มีแผนที่ด้วยนะ ฯลฯ
แม่เริ่มสนุก เราก็เริ่มพาเล่นนู่นนี่นั่น สักพัก ติด
ภารกิจลุล่วง

ตอนนี้แม่เพิ่งเดินทางไปแคชเมียร์
แทบจะอดใจรอดูรูปที่แม่ถ่ายมาฝากไม่ไหวแล้ว >_<

(และแผนขั้นต่อไป ก็ว่าจะเปิดเฟซบุ๊กให้
แม่จะได้มีที่อวดรูปเนะ)




Saturday, March 30, 2013

big diff

ภารกิจสำคัญคือเดินทางไปที่สรรพากรเขต เพื่อรายงานตัว
คือวันก่อนมีหน่วยสวาทมาบุกถึงบ้าน ม่งแม่ตกใจแทบสิ้นสติ
ประเด็นคือ เปิดกิจการใหม่ในรูปแบบบริษัท เขาก็ให้ไปหา
เพื่อไปโชว์หน้า และเล่าว่าเราคือใคร ทำอะไร
และที่สำคัญ มีตัวตนจริงไหม ไม่ได้แอบอ้างนะ ยังงี้
ไปนั่งให้เขาซัก เขาก็เขียนใบคำให้การ เราเซ็น ยิ้ม จบ

แวะไปนั่งรอวิชัยเข้าเมืองด้วยกันที่ไอทีสแควร์
และแวะซื้อขนมไข่เต่า
เจ้านี้ทำอร่อย
และมันทำยังไงวะ
ไม่ร้อนแล้วยังกรอบอยู่เลยอะ






















งานสัปดาห์หนังสือวันแรก
งวดนี้ออกสองเล่ม
พี่หมีหนวดกวดอังกฤษ รวมเล่มจากมันเดย์ล้วนๆ ไม่มีตอนใหม่
และ เหมือนจะเหมือน รวมเล่มจากอะเดย์
อันนี้เขียนใหม่เยอะมาก และเหนื่อยมาก
เล่มนี้นี่คิดว่ามันต้องคนสนใจภาษาอังกฤษจริงๆ ล่ะนะจึงซื้อ
ก็เลยไม่ได้คาดหวังว่าจะขายดีเหมือนเจ็บนิดเดียวฯ
แต่ยังไงเล่มนี้ก็เขียนเองชอบเองมากอยู่ดี
สนุก อยากเขียนยังงี้อีก
ลุ้นให้ขายดีๆ คนชอบแยะๆ >_<



Thursday, March 28, 2013

Tuojiangosaurus

ค้นวิกิเพื่อเขียนหนังสือ ไปเจอข้อมูลไดโนเสาร์ที่น่าประทับใจ
(เดี๋ยว กูเขียนหนังสือเรื่องเกี่ยวกับอะไรนะ)

"เตาเจียงโกซอรัส (อังกฤษ: Tuojiangosaurus; จีน: 沱江龍)
เป็นชื่อไดโนเสาร์สายพันธุ์ใกล้เคียงกับไดโนเสาร์ตระกูลสเตโกซอรัส
มีแผงเต็มหลังและมีหนามแหลมอยู่ที่ปลายหางหลายเล่ม
โดยคณะสำรวจได้ค้นพบในประเทศจีน
ทั้งนี้ ชื่อ "เตาเจียงโกซอรัส" หมายถึง "กิ้งก่าแห่งแม่น้ำเตา" นั่นเอง"

พอรู้ว่าเป็นไดโนเสาร์ที่ค้นเจอในจีน เกิดความรู้สึกสองอย่าง
หนึ่ง แม่งต้องเสียงดังช้งเช้งกว่าไดโนเสาร์พันธุ์อื่นแหงๆ
สอง ของปลอมป่าววะ

แต่ทั้งหมดทั้งปวงคือ ชื่อเท่มาก ประทับใจแค่นี้แหละ

(อีกทีซิ กูเขียนเรื่องอะไรอยู่ถึงได้ค้นมาเจอเรื่องนี้วะ)



หายใจยังไง

ตั้งชื่อตอนประหนึ่งเพลงรัก ประมาณว่าขาดเธอไปแล้วฉันจะอยู่ต่อไปยังไง
เปล่า ความหมายตรงตามตัว กูหายใจไม่ออก
เข้าใจว่าค่าแอร์แพง แต่มึงเปิดพัดลมให้ก็ยังดีนะอีศูนย์สิริกิติ์
มึงเข้าใจว่าประเทศไทยเราอยู่ในเขตอาร์กติกหรือเปล่า
ที่บ้านทำแผนที่หรือลูกโลกใช้เองเหรอสัด

วันนี้ (พุธ 27) มาเซ็ตบูธงานหนังสือวันที่หนึ่ง ว่าด้วยการก่อสร้าง
พรุ่งนี้เซ็ตบูธวันที่สอง ว่าด้วยการจัดหนังสือ
รู้สึกตื่นเต้นดี๊ด๊าน้อยกว่าที่เคย สันนิษฐานว่าเกิดจาก
หนึ่ง ยังไม่ยื่นภาษีเลย มันค้างคาใจ
สอง หนังสือใหม่ของผมยังไม่มาให้เห็นเล่มนึง ('เหมือนจะเหมือน')
สาม กูร้อน



Wednesday, March 27, 2013

Solitaire

Solitaire เป็นเกมสิ้นคิด และดูเหงายังไม่พอ ยังดูโง่อีกด้วย
คือมึงหาเกมที่ใช้ทักษะมากกว่านี้มาสันทนาการตนเองไม่ได้แล้วเหรอ
แต่เล่นไหม เล่น ชอบด้วย มันไม่เครียดดี
แต่พอเล่นไปนานๆ มันก็เริ่มจับทริคอะไรได้หลายอย่าง
ทำให้เล่นได้เร็วขึ้น และรู้ว่าทำยังไงโอกาสชนะจะมากขึ้น
แต่ก็ไม่ได้ช่วยการันตีว่จะชนะเสมอไปหรอกนะ

ไปโหลดไอ้นี่มาเล่นในไอแพด สนุกดี ฟรีด้วย (Solitaire Blitz)
ของค่าย PopCap อะ น่ารักดีนะ


escape key

กุญแจสำคัญเมื่อต้องการหลบหนี คือมึงจงหนีไปเงียบๆ
ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ทำยากในสมัยนี้ ที่ต้องมีการทวีต มีการอัพเดตสเตตัส
มีการแชร์โลเกชั่น มีการเช็คอิน และมีการแบ่งรูปให้คนดูทางอินสตาแกรม
แต่ผมก็ทำได้ เอ่อ เกือบทุกข้อ เพราะเผลอตัว
ตอนไปเดินตลาดอนุสารดันถ่ายรูปลงอินสตาแกรมไป
ปรากฏมีชาวพื้นเมืองมาคอมเมนต์ว่า
เห็นผมขี่มอเตอร์ไซค์อยู่แถวกาดหลวง
โลกไม่เคยแคบได้ขนาดนี้มาก่อนจริงๆ






















นอกนั้นตอนนี้เลิกเกือบหมดแล้ว ทวีตเลิกไปนานแล้ว เช็คอินไม่เคยเช็ค
เฟซบุ๊กก็โพสต์แต่เรื่องงานเป็นส่วนมาก
ตอนนี้ชอบอินสตาแกรม เล่นเงียบๆ คนน้อยๆ ไม่มีดราม่า
ดูรูปกันไป ชอบก็ไลค์ แล้วจบ สงบสุข

ช่วงนี้เขียนหนังสือบันทึกการเดินทางในญี่ปุ่น ที่ไปมา 22 วันเมื่อปลายปีก่อน
โดยเขียนเป็นรูปแบบบันทึกรายวัน เขียนไปเขียนมา
เลยคิดถึงการเขียนไดอะรี่ออนไลน์
ว่าแล้วก็กลับมาเขียนที่บล็อกสปอต
(ที่มีอยู่แล้ว แต่ไม่ได้เขียนมาหลายปี) กันง่ายๆ ยังงี้แหละ

คำถาม ถ้าเขียนไปเงียบๆ แบบนี้โดยไม่บอกใคร
ชาวบ้านเขาก็ไม่เห็นใช่ไหม
หรือกูเกิ้ลจะเป็นธุระ เจ้ากี้เจ้าการบอกคนอื่นให้เอง?

ปกติไม่แดกหมู แต่วันนี้แดกหมู ก็หมูมันหอม สอยซะ
หมูทอดหนึ่งถุง เออ อร่อย เอาไว้กลับไปใช้ชีวิตปกติที่กรุงเทพ
ค่อยเข้าสู่โหมด 'กินแต่สัตว์น้ำ' กันใหม่อีกครั้ง